เราทุกคนล้วนเริ่มออกเดินทางตั้งแต่วันแรกที่เกิดมา
วัยเด็กเป็นวัยที่เราสะสมประสบการณ์
วิ่งเล่นไปทางนั้นทีทางนี้ทีโดยไม่ต้องคิดถึงจุดหมาย
จนเมื่อถึงวัยหนึ่งที่ชีวิตเดินทางมานานพอควร
พอที่จะต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า "จริงๆแล้ว เราจะไปที่ไหน ??”
หากไม่อยากเป็นคนหลงทิศ
สับสนกับชีวิตอยู่เรื่อยไป เราต้องหาเป้าหมายให้ตัวเอง เมื่อรู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน
เราจะรู้ว่าต้องไปทางไหน และหาวิธีว่าจะไปให้ถึงได้อย่างไร
ไม่สำคัญว่าเราจะหลงทางไปกี่สิบกี่ร้อยครั้ง
เพราะในทุกความผิดพลาดล้วนได้การเรียนรู้ติดมาด้วยทั้งสิ้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือ
เราต้องรู้เสมอว่า ”เรากำลังจะไปที่ไหน”…
หากชีวิต
คือการเดินทางไกล สัมภาระบางอย่างที่ไม่จำเป็นก็ต้องทิ้งไปบ้าง
การแบกทุกสิ่งไว้จะทำให้เราเหนื่อย
และเดินได้ช้าลงอย่างไม่จำเป็น
สำหรับผู้ร่วมเดินทาง
หรือผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หากพบคนที่ดี พูดคุยกันถูกคอ ก็คบกันไว้
เป็นเพื่อนเป็นกำลังใจให้กันไปในระหว่างทาง หากเจอไม่ดี ไม่ใช่
ปล่อยมือไปบ้างก็ได้...
อย่าพยายามดึงรั้งใครให้เดินไปกับเรา
หากเขาไม่เต็มใจ และเราจะเหนื่อยเอง คนอื่นไม่ควรมีผลจนทำให้เราต้องหยุดเดิน
หากเราไม่ลืมคำถามสำคัญข้างต้น เราก็จะไม่มีวันหลงทางไปได้ง่ายๆ อย่าประมาทกับชีวิต
เมื่อชีวิตนี้เป็นของเรา
เราทุกคนจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการกระทำของตัวเอง
เสียเวลากับการหลงทาง ยังได้บทเรียน
และไม่น่าเสียดาย เท่าเสียเวลาไปกับการคร่ำครวญหาอดีตที่เดินผ่านมาแล้ว
และการกังวลเกินไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การกระทำเหล่านี้นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์
ยังเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังชั้นดีอีกด้วย
สุดท้าย ในการเดินทางของชีวิต
ไม่ได้จะมีแต่วันที่อากาศอบอุ่นและสดใส มันอาจมีบางวันที่พายุเข้า ฝนตกกระหน่ำ
นั่นเพราะความท้าทายของชีวิต ไม่ใช่การเดินยิ้มท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใสทุกวัน
หากแต่เป็นการเต้นรำกลางสายฝนแม้ในวันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจได้อย่างมีความสุขด้วยนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น